“จับจองที่นั่งของคุณให้ดี เพราะพลุไฟใกล้จะเริ่มต้นแล้ว”
(1)
“การเลือกเส้นทางชีวิตก็เหมือนการเลือกจับจองที่นั่งเพื่อดูพลุไฟในช่วงเทศกาลฮานาบิแหละมั้ง”
อยู่ๆ ฉันก็คิดในใจขึ้นมา แต่พอคิดออกมาแล้วก็ดันเขิน เพราะมันดูเหมือนคำคมห้าบาทสิบบาท ที่ไม่มีอะไรโยงใยกับชีวิตจริงได้เลย
เราต่างหวังให้ชีวิตเรียบง่าย, แต่มันก็มักจะลงท้ายด้วยความซับซ้อนเสมอ…ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
5 ปีก่อน ฉันเลือกไปเรียนต่อปริญญาโทที่ญี่ปุ่น ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะกลับมาเป็นอาจารย์ใกล้บ้าน, บ้านที่อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ราวๆ 700 กิโลเมตร,
แต่เรื่องจริงคือ ตลอด 3 ปี 3 เดือนหลังเรียนจบและรับใบปริญญามา – ฉันไม่เคยได้เป็นอาจารย์ใกล้บ้านเลย
1 ตุลาคม 2015 ฉันเริ่มอาชีพแรกหลังเรียนจบปริญญาโท (แต่ตอนนั้นอายุก็เลยเลข 3 มาแล้ว) ในองค์กรของรัฐแห่งหนึ่ง ฉันไม่ได้รับราชการ แต่มันเป็นองค์กรที่ฉันหวังว่าจะได้เรียนรู้ และได้พาตัวเองเข้าใกล้งาน Public Policy หรือนโยบายสาธารณะ อย่างที่เรียนมาในชั้นเรียนปริญญาโทให้ได้มากที่สุด
ถ้าฉันยังกลับไปทำงานใกล้บ้าน (นอก) ไม่ได้ ฉันก็หวังแค่ว่า อยากใช้ความรู้ความสามารถทำงานในองค์กรที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนให้ได้ แม้จะเป็นเสี้ยวเล็กๆ ก็ตามที
ฉันอยู่ที่นี่แค่ 6 เดือน ก็มีโอกาสอื่นหยิบยื่นมาให้, แม้ตัวเลข 6 เดือนจะแสนสั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันมักบอกคนอื่นๆ เสมอว่า ไม่ว่าแนวคิดขององค์กรนี้จะเป็นอย่างไร ไม่ว่าตัวองค์กรจะถูกตั้งคำถามจากสังคมแค่ไหน แต่ฉันได้เรียนรู้อะไรเยอะมากตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่เกือบหมดเลย
10 ปีก่อนหน้านี้ ฉันอยู่ในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และเอาเข้าจริง ฉันเป็นคนที่กระโจนเข้าสู่ธุรกิจสิ่งพิมพ์โดยไม่คิดหวังความก้าวหน้าเลย ตลอดชีวิตการทำงานของฉัน หวังสิ่งเดียวเท่านั้น คืออยากออกหนังสือให้ได้สักเล่ม (ตลอดวัย 20s ฉันไม่เคยเรียกร้องเงินเดือนขึ้น ไม่เคยร้องหาโบนัส และไม่เคยขอปรับตำแหน่งให้สูงขึ้นเลย ฉันมีแค่ความฝันเดียว คืออยากออกหนังสือเท่านั้น)
ตัดกลับมาที่ปี 2015 ณ องค์กรแห่งนั้น, ฉันได้เรียนรู้การจับใจความตอนเราเข้าประชุม (มีประชุมเยอะมาก), ฉันได้เรียนรู้การย่อยข้อมูลยากๆ และถ่ายทอดออกมาให้ง่ายๆ และโดนใจ, ฉันได้เรียนรู้ว่า “สาร” บางสาร ถ้าสื่อออกมาอย่างถูกต้องและถูกเวลา มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรได้
ฉันได้เรียนรู้การใช้ Google Calendar เพื่อการทำงานครั้งแรกก็ในตอนนั้น (ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยคิดใช้มันเลย)
แต่เพราะลึกๆ แล้วฉันอยากออกไปทำงานต่างจังหวัด “กรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย” คือประโยคที่ฉันมักจะพูดกับเพื่อนสนิทเสมอ ฉันคิดว่าถึงแม้เราจะเป็นคนทำงานที่ตั้งใจดีขนาดไหน แต่ถ้าเราไม่เคยได้ออกไป…เห็นอย่างที่มัน (น่าจะ) เป็น เราอาจเป็นแค่คนพยายามขีดเส้นนั่นนี่แล้วเรียกมันว่า “เทรนด์” โดยที่จริงๆ แล้วมันอาจไม่ได้สะท้อนชีวิตจริงของคนอีกครึ่งประเทศก็ได้
(2)
29 มีนาคม 2016 ฉันย้ายไปอยู่อีกองค์กรที่ให้โอกาสทำงานในพื้นที่อีสาน, เงินน้อยลง (มาก) และเนื้องานก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่สถานการณ์ อธิบายอย่างเรียบง่ายคงต้องบอกว่าทำงานเป็น “เจ้าหน้าที่ชุมชน” แต่นั่นแหละ พอจะลงรายละเอียดในเนื้องาน ก็พบว่าคงไม่อาจระบุ Job Description ได้ชัดเจน
หลายคนที่ได้ข่าวจากฉันในตอนนั้น คงพอจำได้ว่าฉันไปอยู่วัด วัดที่ช่วงกลางวันของวันจันทร์ถึงศุกร์ จะมีผู้ต้องขังจากเรือนจำมาทำงานอาสาในวัด ชีวิตช่วงนั้นของฉันเป็นช่วงที่ได้ผูกมิตรกับ ผู้คุมเรือนจำ, ผู้ต้องขัง, นายก อบต., ผู้ว่าราชการจังหวัด, ปลัดอำเภอ, กำนันผู้ใหญ่บ้าน, เกษตรกรไร่มัน, เกษตรกรสวนอ้อย, เกษตรกรนาอินทรีย์, แม่ออก (หมายถึงคนที่มาทำบุญกับวัด), เศรษฐีต่างจังหวัด, ทหารเกณฑ์ที่สุดท้ายก็ปฏิเสธสิ่งดีๆ ในชีวิต แล้วเลือกเดินบนเส้นทางอื่น, เด็กมัธยมปลายที่มุ่งหวังอยากเข้าทำงานที่ Google, รวมถึงกลุ่มเด็ก “บอร์ด” หรือแก๊งสเก็ตบอร์ด ในตำนานของฉัน (ฉันเริ่มเล่นสเก็ตบอร์ดครั้งแรกในชีวิตตอนเข้าแก๊งค์นี้)
ชีวิตในจังหวัดที่ว่ากันว่า “ยากจนที่สุด” จังหวัดหนึ่งของเมืองไทย เป็นชีวิตที่สอนอะไรฉันมากมายเช่นกัน ฉันได้เข้าใกล้ความเป็นไทย (อีสาน) มากอีกนิด ฉันได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าคำว่า “ระบบอุปถัมภ์” ที่อยู่ใน text book ของเด็กรัฐศาสตร์หน้าตาเป็นอย่างนี้เอง ฉันได้เข้าใจว่า “วัด” สำคัญกับชุมชนอย่างไร และมากเพียงไหน, ฉันเข้าใจคำว่า “บารมี” ที่แฝงฝังอยู่ในสังคมไทย – ฉันเห็นงบประมาณประเทศที่หล่นโปรยลงมาในพื้นที่ และพบคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจดีอีกมาก แต่ก็ค้นพบเช่นเดียวกันว่า – ระบบราชการในประเทศนี้ “เฮงซวย” ขนาดไหน (ขอเน้นคำว่า “ระบบ” ไม่ได้เน้นที่คำว่า “คน” )
1 ปี กับอีก 2 เดือน ฉันก็จากลาที่นั่น, ลาจากพื้นที่ซึ่งสอนฉันมากมายเหลือเกิน เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากอย่างยาวนานในประเทศนี้
(3)
1 มิถุนายน 2017 – เรียกได้ว่าเป็นวันแรกที่ฉันได้เริ่มต้นใหม่กับกรุงเทพฯ อีกครั้งอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะรักหรือชัง แต่ต้องยอมรับว่า กรุงเทพฯ คือ Comfort Zone ด้านอาชีพการงานของฉัน
ฉันกลับมาสู่อาชีพเดิม – อาชีพที่ฉันเคยวิ่งหนีจากเมื่อปี 2012
การหวนกลับมาครั้งนี้ ฉันมาพร้อมความตั้งใจว่าจะอยู่กับมันอย่างยาวนาน
ในยุคสมัยที่ธุรกิจสื่อถูกท้าทายและต้องปรับตัว ฉันค่อยๆ ค้นพบที่ทางของตัวเอง ว่าตัวเองเหมาะกับอะไร (หรืออย่างน้อยที่สุด ฉันสบายใจกับจุดไหน)
ฉันรับงานเป็นมือปืนรับจ้าง – ผลิตสื่อให้องค์กรต่างๆ หรือที่เรามักเรียกว่า “ลูกค้า” ฉันค้นพบว่าลูกค้าแต่ละคนมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป และหลายครั้ง “การปรับตัว” และ “เปิดใจ” ต่อกัน นั้นสำคัญมาก
และการเคารพกัน – อาจสำคัญที่สุด
นอกจากการหันมาทำสื่อให้องค์กร ฉันค้นพบความสนใจใหม่ในเรื่องเล่า ฉันอยากเขียนเรื่องเล่าในรูปแบบบทละคร บทหนัง หรือแม้กระทั่งแฟนฟิคชั่น ขณะเดียวกันความสนใจก็ขยายขอบเขตไปที่สื่ออย่างวิดีโอสารคดี และคลิปยูทูป
ฉันไม่ใช่คนเก่ง, หัวช้าและเดินช้า, แต่เมื่อค้นพบว่าอะไรคือสิ่งที่อยากทำ ฉันก็อยากมุ่งหน้าไปให้เต็มที่
แต่ไปเต็มที่ของฉัน อาจหมายถึงการเดินต้วมเตี้ยมในสายตาของคนอื่น
แต่นั่นก็ไม่เป็นไรเลย
หลังจากกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ได้ 1 ปีกับอีก 7 เดือน ฉันค้นพบว่า มีอะไรที่ฉันอยากทำอีกมากมาย แต่ฉันก็คงทำไม่ได้ทุกอย่าง ฉันควรโฟกัสแรงและพลังกับสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนหนึ่งนั่นคืออาชีพประจำ ส่วนสองนั่นคือเรื่องเล่าส่วนตัวที่อยากเล่า (ในทุกรูปแบบที่เอื้อให้เล่า)
นับจากวันที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ฉันไม่ได้ทำงานด้านนโยบายอย่างที่เรียนจบมา ไม่ได้สอนหนังสืออย่างที่เคยตั้งใจไว้ เส้นทางที่ฉันเลือก ไม่ได้มอบเงินทองมากมาย แต่นี่อาจเป็น เส้นทางที่ฉันเลือกแล้ว
คงเหมือนกับ เสื่อบนลานหญ้า ที่เราเลือกจับจอง ก่อนที่พลุไฟฮานาบิจะเริ่มต้นขึ้น
ฉันเลือกปูเสื่อตรงนี้ จุดที่สบายใจที่จะอยู่ และสบายใจที่จะนั่ง
ปี 2018 หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า ปีเฮย์เซย์ 30 กำลังจะผ่านไป
พลุไฟส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่จะถูกจุดขึ้น
จุดที่เราแต่ละคนเลือกให้ชีวิต อาจไม่เหมือนกัน (และไม่จำเป็นต้องเหมือน)
แต่หวังว่าเราจะพอใจกับมัน
และ Enjoy กับความงามของดอกไม้ไฟ
ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะผู้เฝ้ามองหรือผู้จุดมันขึ้นก็ตาม