สรุปคอร์สเขียนบท
หมายเหตุ : เขียนไว้ตั้งแต่ เมษายน 2561 นะคะ
วันนี้เรียนเขียนบทละครโทรทัศน์เป็นคลาสสุดท้าย เรียนไปทั้งหมด 5 ครั้ง รวม 20 ชั่วโมง ขอสรุปไว้ดังนี้แล้วกัน
(ถ้าไม่เขียนตอนนี้ ไม่ได้เขียนอีกแน่ๆ)
1)เราเคยลงเรียนเขียนบทหนัง ตั้งแต่ยุคที่ทงบังชินกิเพิ่งเดบิวต์ (กรุณาไปเสิร์ชเอาจ้า ว่าทงบังฯ เดบิวต์ปีไหนเนอะ บอกได้แค่ว่า … ชาติที่แล้ว XD) คือเรียนนานมาก ตั้งแต่ก่อนยุคสมาร์ทโฟน ตอนนั้นก็มึนๆ เบลอๆ ด้วยประสบการณ์น้อย เพิ่งเริ่มทำงานเองอ่ะ อายุ 22 ในตอนนั้น ก็เบลอเสียมาก ทฤษฎีต่างๆ นานาคือลืมไปหมดแล้ว ตอนนั้นมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่ามาก คือเรื่องที่ไป work & travel ที่อเมริกามาในวัย 22 อยากลองเขียนออกมาเป็นบทหนัง
สรุปคือ ไม่เคยเขียนมันออกมาเลย ขนาดหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่ได้เขียนเลย
การลงเรียนเขียนบทหนังครั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่จำได้ขึ้นใจคือ “จงให้ตอนจบในแบบที่คนดูอยากเห็น แต่จง surprise พวกเขา”
เป็นประโยคที่ยังติดอยู่ในใจมาจนถึงทุกวันนี้
และก็ได้นำมาใช้ในการเขียนบทความต่างๆ อยู่บ้าง … คิดว่านะ
2)หลังจากผ่านมา 15 ปี … โห ทงบังชินกิ เดบิวต์มานานขนาดนี้เลยเรอะ … เราก็กลับมาลงเรียนเขียนบทละครโทรทัศน์ … จากแรงยุของมาส นามไม่สมมติ!
การตัดสินใจลงเรียนเขียนบทของเรา เกิดขึ้นเพราะมาสจริงๆ แต่ “ความอยาก” ในการเขียนบทของเรา มันเริ่มมาจาก “ฟิกจอยลดา” ล้วนๆ (ฮา)
เหตุผลเกิดมาจากว่า พอเราอ่านฟิกจอยลดา เรื่อง #น้องยิ้มจะแซ่บ เราก็อยากลองเขียนฟิกแชท DoTen บ้าง แต่ประเด็นคือ ลองเขียนแล้วก็ไปต่อไม่ได้ พบข้อจำกัดของตัวเองหลายอย่าง ที่ชัดเจนคือเราไม่เก่ง situation กับ dialogue เลย คือ dialogue นี่ชัดเจนมาก เพราะไม่แม่น ไม่ถนัด เลยแต่งจอยไม่ไปเลยไง เพราะจอยมันรันด้วยแชทล้วนๆ
ฟิกในจอยลดาก็เลยเหมือนเป็นกระจกที่มาส่องให้เราเห็นว่าเราขาดอะไรไป และถ้าขาดแบบนี้ เราควรจะเติมไหม ถ้าอยากเติม ต้องทำยังไง ก็เลยไปปรึกษามาส ซึ่งนางเรียนและทำงานสายนี้โดยตรง นางเลยให้ไปลงเรียนไง นางบอกลงเอาทฤษฎี ส่วน creative หลังเรียนจบ ค่อยมาทวงวิชากับนาง (อันนี้ถือว่าประกาศไว้เป็นสัญญาย่อมๆ นะคะทุกคน XD)
3)ประจวบเหมาะกับมันมีคอร์สเรียนเขียนบทละครโทรทัศน์ของดรีมบ๊อกซ์เปิดมาช่วงนั้นพอดี
ด้วยจำนวน 20 ชั่วโมง กับค่าคอร์ส 15,000 บาท เราก็คิดหนักนะ แต่นั่นแหละ Education is an investment. โว้ย .. เออ ลงก็ได้
4)เราชอบคลาสเรียนอันนี้ เอ็นจอยทุกครั้งที่ได้ไปเรียน แต่ที่ชอบที่สุด คงเป็นองค์ประกอบของชั้นเรียน หรือเพื่อนร่วมคลาสนั่นเอง
คลาสนี้หลักๆ มีกัน 5 คน … คือเราคิดว่า คนที่มาลงเรียนมี 3 คนนะ และอีก 2 น่าจะเป็นน้องๆ ที่เกี่ยวข้องกับดรีมบ๊อกซ์ ซึ่งเราว่าการมี 5 คนมันสนุกดี เพราะได้แลกเปลี่ยนมุมมองกันมากขึ้น และได้เรียนรู้จากตัวอย่างบทของคนอื่น
เพื่อนร่วมชั้นจะมีต่างคาแรกเตอร์ไป ซึ่งคิดว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ชีวิตพวกเขาดี
>พี่เอ เป็นวิศวกรใหญ่ แบบตำแหน่งใหญ่โตอ่ะนะ พี่เอชอบดูละครเวที ดูหนัง เคยทำเกี่ยวกับอะไรพวกนี้สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งก็นานมากแล้ว แต่เหมือนจะติดอยู่ในใจ ว่าอยากเขียนบทให้สำเร็จดู เลยกลับมารีเฟรชตัวเองด้วยคอร์สนี้
>อ.รุ้ง เป็น อ.มหาวิทยาลัย แนวๆ ประวัติศาสตร์ เราจำ ม.ไม่ได้ อ.รุ้งก็มีเหตุผลคล้ายๆ กัน คือ มีความฝันว่าอยากลองเขียนบทดู อยากรู้ว่ามันจะแตกต่างจากงานวิจัย หรืองานวิชาการที่ทำไหม เลยมาลงเรียน เพื่อท้าทายข้อจำกัดของตัวเองด้วย อ.รุ้ง เป็นรุ่นน้อง “รอมแพง” คนที่เขียนหนังสือ “บุพเพสันนิวาส”
>น้องอาย เด็ก ป.โท Musical จาก Goldsmith จริงๆ อายจบ ตรีเอกเดียวกันที่ Goldsmith ส่วนมัธยมก็เรียนอินเตอร์ที่ไทย จบ Shrewsbury โรงเรียนเดียวกับน้องเตนล์ NCT!!! ชั้นตื่นเต้นมากทุกครั้งที่เจออาย .. แน่นอน ด้วยเหตุผลว่าอายจบที่เดียวกับเตนล์ 555 #จิตวิญญาณของความติ่ง
แม้อายจะเรียนอินเตอร์ แต่อายอ่านวรรณกรรมไทยคลาสสิกเยอะมาก พูดเรื่องอะไรมา อายก็อ่านมาหมดแล้ว เหมือนที่บ้านจะเกี่ยวข้องกับงานด้านละคร(เวที) ด้วยมั้ง ไม่แน่ใจ แต่แนวๆ นี้แหละ คืออายจบ โท Goldsmith ขนาดนี้ไม่ต้องลงเรียนก็ได้นะ แต่อายบอกว่าไม่แม่นเรื่องการเขียนบทละครที่เป็นละครแบบเล่าเรื่องน่ะ อายถนัด Musical แต่คิดว่าการเรียนแบบอื่นจะช่วยให้อายพัฒนา Musical ได้ดีขึ้
>น้องมิวสิค เด็กสุด เพราะยังเรียนไม่จบปริญญาตรี มาจากเชียงใหม่เพื่อมาฝึกงานที่ดรีมบ๊อกซ์ เลยจับพลัดจับผลูมาลงเรียนด้วย ความที่น้องเป็นเด็กผู้ชายยุคใหม่ (หมายถึงยุคนี้) น้องเลยมีมุมมองอีกแบบที่ต่างจากเรา พี่เอ อ.รุ้ง ซึ่งมันดี เพราะเราจะได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ ด้วย มิวสิคเป็นคนที่มีความชอบเรียกได้ว่า (น่าจะ) ต่างจากเรามากๆ เวลาต้องพัฒนาโจทย์ มิวสิคจะเลือกพัฒนาโจทย์ที่ต่างออกไปจากที่เราคิดสุดๆ เช่น น้องพัฒนาโจทย์จากข่าวที่ได้รับ (ข่าวเกี่ยวกับคนทำอาชีพทำความสะอาดบ้านที่มีคนตาย) ออกมาเป็น ซีรีส์บันทึกกรรม มีผีตามหลอก ไรงี้ ซึ่งปกติเราจะไม่คิดอะไรพวกนี้เลย เพราะเรากลัวผี และเราเล่าแนวนี้ไม่ได้ เล่าไม่เป็นเลย แต่มิวสิคเหมือนจะมาสายนี้เลย ซึ่งเจ๋งดี ได้เจอคนที่ตีโจทย์ต่างจากเรามากๆ
5)การบ้าน
การเรียนทฤษฎี เราว่าหลายคนน่าจะพอหาอ่านจากอินเตอร์เน็ตได้ เรามองว่าการเรียนเขียนบทมันเหมือนงานช่างน่ะ คือมันต้องใช้การฝึกฝนมากกว่า ดังนั้นในส่วนทฤษฎีขอข้ามแล้วกัน คิดว่าทุกคนน่าจะพอเดาๆ ได้ ว่า การเล่าเรื่องมันมีอะไรบ้าง (แต่จะเล่าได้เก่ง มันต้องฝึกเยอะมากๆ น่ะนะ)
สิ่งสำคัญของการเรียนช่าง คือต้องฝึก ในที่นี้ก็คือการทำการบ้าน ตามโจทย์ที่ได้รับมา โดยในเวลา 5 สัปดาห์ เราก็ได้รับโจทย์กันประมาณนี้
>โจทย์แรก คือ ข่าวในญี่ปุ่น เรื่องคนที่ทำอาชีพเก็บกวาดห้องพักหลังจากมีคนตาย (ลองเสิร์ชดูก็ได้ มันจะมีข่าวและบทสัมภาษณ์คนทำอาชีพนี้ที่น่าสนใจมาก)
โจทย์คือ เราทุกคนต้องเขียนโดยสมมติว่าเราเป็นคนทำอาชีพนี้ แล้วต้องเข้าไปทำความสะอาดในห้องที่ใครสักคนตาย แล้วเจอของ 5 ชิ้นที่อาจจะบรรยายลักษณะของคนคนนี้ หรือเป็นของที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่อไป
จากโจทย์นี้ บางคนก็พัฒนาพล็อตไปแบบบันทึกกรรมวัยรุ่น (น้องมิวสิค) บางคนก็กลายเป็นโรแมนติกคอมเมดี้น่ารักโดยมีฉากหลังเป็นลอนดอน (น้องอาย) บางคนนำเรื่องลัทธิโอมชินริเกียวมาเกี่ยวข้อง (พี่เอ) ของ อ.รุ้ง เราจำไม่ได้ ของเราทำโง่ๆ ง่ายๆ คืนเดียว 55 โดยยึดข่าวเรื่องที่นักแสดงเกาหลีคนที่โดนกรณี MeToo แล้วฆ่าตัวตาย ส่วนคนที่เป็นตัวเมนหลัก (ทำความสะอาดแล้วเจอเบาะแส) คือ สิบทิศ ซึ่งชั้นตั้งชื่อตามชื่อเตนล์ ในฟิกจอยลดาาาาาา ฮา #เพราะเป็นติ่งจึงทำเช่นนี้
>โจทย์สอง
ได้รับโจทย์ให้อ่านบทละครเวที “กุหลาบสีเลือด” ที่เคยทำออกมาแล้ว 2 เวอร์ชั่น (ตั้งแต่ยุค สิริยากร พุกกะเวส ยันยุค ป๊อก ปิยะธิดา อ่ะนะ) โจทย์หลักๆ คือ เขียนซีนเปิด จะเปิดอย่างไหนก็ได้ จะเลือกตัวละครหลักเป็นตัวอื่นในการดำเนินเรื่องก็ได้ (คือรื้อใหม่ได้)
ความน่าสนใจตอนนั้นคือ บุพเพสันนิวาส ดังมาก เราก็เลยคุยกันเรื่องการปรับบทละครจากหนังสือ ว่าบทละครเขาปรับส่วนไหนบ้าง บทเปิดในบทละครต่างจากหนังสือเยอะไหม คุยกันมากเข้า ก็เลยพาลอยากดูบุพเพฯ เลยได้ดูในที่สุด ฮา
>โจทย์สาม ให้คิด Original Plot มาเอง เขียนพล็อตให้จบ (แต่ไม่ใช่ ทรีตเม้นท์ นะ) ซึ่งอันนี้ เราควรจะพัฒนาเป็นบทออกมาให้จบด้วยในภายหลัง ถ้ามีแรงเหลือน่ะนะ
วีคที่เป็น Original Plot น้องอายกับมิวสิคไม่ได้เข้า เพราะติดงาน เลยมี 3 คนมาส่งการบ้าน และถกกัน
โดยแต่ละคนจะมีพล็อต (แรก) เป็นดังนี้
พี่เอ – เป็นเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอาชีพการงานของตัวเองส่วนหนึ่ง เรื่องการเห็นกลโกงการซื้อที่ คำถามถึงว่าอะไรคือการคอรัปชั่น ถ้าคนทำผิดคิดกลับใจจะได้ไหม พล็อตพี่เอ จะมีตัวละคร Angel คล้ายๆ Meet Joe Black ที่มาให้โอกาสตัวเอกได้แก้ไขและกลับตัวกลับใจก่อนตาย
อ.รุ้ง- อ.รุ้งเริ่มจากโจทย์ในใจที่อยากเล่าเรื่อง ตึกถล่มที่โคราช ซึ่งเป็นข่าวดังมากเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน อ.รุ้งเป็นคนโคราช และรู้สึกเยอะกับเหตุการณ์ครั้งนั้น เลยพัฒนามาเป็นพล็อตของนักธุรกิจที่เป็นเจ้าของตึก ซึ่งได้อยู่ในตึกวันที่ถล่มด้วย ระหว่างความเป็นความตาย มียมทูตปรากฏตัว และให้โอกาสคนนี้เลือกช่วยชีวิตคนดีในตึกได้ 3 คน เพื่อแก้ไขความฉ้อโกงไม่ดีต่าง ๆที่เขาทำมา อย่างน้อยก็แบ่งเบา โดยมีเดิมพันว่า ลูกสาวเขาที่อยู่ในวัยมัธยมที่ติดอยู่ในตึกด้วย ก็จะรอดชีวิต
พล็อตของพี่เอกับ อ.รุ้ง จะไปในแนวทางเดียวกันมาก
ส่วนของเรา เป็นรอมคอมใสๆ … เรื่องผู้หญิงใกล้ 40 ฮา … โอ้ย ใกล้ตัวมาก อย่าให้เล่าเลย อาย
>โจทย์สี่
ให้เขียนบทฉากเปิดจาก Original Plot โดยเขียนหลายๆ ซีนมาจนถึงจุดที่เรียกว่า Point of Attack คือประมาณว่า จุดที่เป็นชนวนของปม หรือเปิดเผยให้เห็นความต้องการของตัวละครหลัก หรือเป็นจุดหักเหก็ได้มั้ง (ไม่รู้อธิบายว่าไงดี) อย่างในบุพเพสันนิวาส Point of Attack ของเรื่อง ก็คือ ซีนที่เกศสุรางค์ เข้าไปอยู่ในร่างการะเกด คือย้อนเวลากลับไป ก่อนจะเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย เป็นต้น
โจทย์สี่ พี่เอ กับ อ.รุ้ง พัฒนาจากพล็อตได้ดีมาก ส่วนของเราก็ตามมีตามเกิดค่ะ ฮา แต่ดีใจที่มีคนชมว่า น่ารัก เรื่องนี้ต้องพัฒนาจาก “ตัวละคร” เป็นหลัก ซึ่งต้องทำคาแรกเตอร์ให้แน่น คงต้องไปทำงานอีกเยอะกว่าจะแน่นได้ ฮา
ส่วนของอาย อายเล่าเรื่องรอมคอมคล้ายกัน แต่เป็นพล็อตนักกีฬา Dancing Skaters ที่แบบเต้นคู่กันอ่ะ แล้วเป็นคู่จิ้นแชมป์โลก ประสบความสำเร็จด้วยกันตั้งแต่เด็ก เลยเหมือนดีลกับ relationship อย่างอื่นไม่เป็นแล้ว เพราะเจอแต่กันและกัน (เพราะต้องซ้อมด้วยกัน) มันเลยเหมือนคู่จิ้นที่อีกฝ่ายหลงรักอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายอยากรักษา professionalism ด้านกีฬา เลยเลือกที่จะไม่คบกัน เพราะรู้ว่ามันจะทำลายสิ่งที่สร้างกันมา (ก็คือ อาชีพนักกีฬา dancing skate) อันนี้อิงจากนักกีฬาคู่ขวัญจริงๆ ของแคนาดาส่วนหนึ่ง
เราชอบปม การดีลกับ relationship อย่างอื่นไม่เป็นเพราะตลอดชีวิตคือมัน (ต้อง) เจอแต่คนคนเดียวมาตลอดมากๆ .. ทีนี้ มันเลยขนาดเรื่องไปต่อในระดับที่ว่า ไอ้ความรู้สึกที่คิดว่า “จริง” น่ะ มัน “จริง” ไหม หรือมันแค่เพราะไม่เคยรู้จักสิ่งนี้กับคนอื่นๆ น่ะ
จริงๆ น้องไม่ชอบเรื่องนี้นัก คือมันต้องพัฒนาอีกมากแหละ แต่เราชอบปม และชอบการเล่นกับอาชีพนักกีฬา Dancing skate มาก (ที่ความสำเร็จคือต้องมาเป็นคู่ ไม่ใช่เดี่ยว)
เรื่องของมิวสิค จะเป็นเรื่อง bug on earth คิดเป็นซีรีส์ตอนสั้นๆ 15 นาที ที่เล่าได้หลายๆ ตอน ภายใต้ธีมหลักเดียวกัน bug on earth มันจะตีความมาจาก “บั๊ก” ในคอมพิวเตอร์น่ะ ที่วามันจะมี “บั๊ก” คล้ายๆ ข้อผิดพลาด หรือตัวก่อกวน ประมาณว่า ดวงไม่ดีก็ได้ ทีนี้ ชีวิตจริงคนเราก็จะเจอ “บั๊ก” หรือข้อผิดพลาดอยู่แล้ว แต่ “บั๊ก” อันนี้มันจะคล้ายๆ กับ super natural บางอย่างอ่ะ แต่มาในรูปแบบ เช่น บุหรี่มวนสีดำ ที่สูบแล้วจะเกิดอะไรบางอย่างกับชีวิต เช่น ทะเยอทะยานมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งฟังแล้ว ทำให้ความรู้สึกว่า บันทึกกรรม ดี … ซึ่งเป็นแนวทางที่เราไม่มีวันคิดได้ แต่ดีใจที่ได้เรียนร่วมกับคนที่ เออ เขาคิดต่างจากเราดี
> สรุปแบบงงๆ แล้วกัน ว่าชอบคอร์สนี้ และแน่นอน เราต้องฝึกอีกเยอะ ซึ่งระหว่างนี้ คงฝึกด้วยการอ่านฟิกจอยลดาเป็นหลักแล้วกัน
อ้าว…มรึงงงงงง
#ขอให้น้องเตนล์มีความสุขได้ในสิ่งที่อยากได้นะคะ จบ.